
พระอาจารย์ชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง จ. อุบลราชธานี
พระอาจารย์ชาเป็นพระรูปหนึ่งที่ผมเคารพและนับถือมากเพราะท่านเป็นพระปฏิบัติ เป็นพระดีผู้สมควรได้รับการกราบบูชา เป็นผู้ชี้ทางให้กับหลายๆคน ถือได้ว่าผมโชคดีที่มีโอกาสได้อ่านคำสอนของท่านพอสมควร นำมาปฏิบัติได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็พอจะจับได้ว่าสุขทุกข์นั้นตัวแปรอยู่ที่ความคิดเหมือนกับที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวในทำนองว่าทุกข์เพราะคิดผิด แม้ว่าผมยังห่างไกลจากการเป็นผู้รู้อยู่มากแต่เมื่อเทียบกับก่อนเส้นทางนี้ก่อนงานต่างๆที่กำลังทำอยู่ ผมก็มีความสุขมีความสบายใจกว่าแต่ก่อนมาก ผมจึงขอสรุปแนวทางที่ผมใช้และเห็นผลกับตัวเองเผยแพร่ไว้เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง (ถอดมาจากบางส่วนของการบรรยายที่องค์กรพุทธโลก แก่ชาวต่างชาติที่สนใจการบรรยายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เมื่อ 5 เมษายน 2552 )ดังนี้
ทางแห่งความสุขจะเริ่มต้นได้ไม่ยาก หากเราเข้าใจและยอมรับได้ว่าสิ่งที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามดิ้นรนอยู่นี้ก็คือเพื่อให้ตนเองมีความอยู่ดี กินดี ได้ทำได้ไปในสิ่งที่หรือสถานที่ที่ตนพอใจ หรือมีความสุขนั่นเอง ถ้าหากเรามีพอเท่าที่ร่างกายและสังขารต้องการสำหรับการดำรงอยู่ ไม่เจ็บไม่ไข้ก็สามารถมีความสุขได้แล้ว ส่วนเกินต่างๆล้วนเป็นความสุขที่ตอบสนองต่อความอยากในใจทั้งสิ้น ฉะนั้นความสุขจะมีได้ง่ายขึ้นถ้าจิตหรือใจได้รับการฝึก ได้ตามหาความสุขให้ถูกที่ ไม่ใช่วิ่งพล่าน ดิ้นรนหาความสุขไปทั่วแต่ไม่รู้ว่าความสุขอยู่ตรงไหน
เพราะส่วนเกินจากความต้องการเท่าที่จำเป็นของร่างกายนั้น ใจเป็นตัวกำหนด จะหยุดจะนิ่ง จะเป็นสุขได้ก็อยู่ที่ใจ ถ้าเรามองชีวิตได้ตามความเป็นจริง เห็นในความไม่เที่ยงเห็นการเกิดการดับ เห็นทุกข์เห็นสุขที่หมุนเวียนเกิดขึ้นรอบๆตัว เราก็คงพอจะเริ่มได้คิดว่าการจะแสวงหาสุขที่แท้จริงคงไม่ใช่การปล่อยให้ชีวิตหมุนไปตามยถากรรมของมัน เพราะแบบนั้นมันก็ทุกข์สุขคละเคล้ากันไปเรื่อยๆ คนที่เข้าถึงชีวิต คนที่แสวงหาความสุขที่ยั่งยืนจึงจำเป็นต้องเข้าใจและหาทางเดินที่จะนำไปสู่ความสุขที่ยั่งยืน ความสุขทั้งกายและใจ ถ้าเราต้องการเดินบนเส้นทางแห่งความสุขเราจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารใจ การที่จะบริหารใจนั้นต้องอาศัย ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งเป็นแนวทางที่พระพุทธองค์ได้ชี้ทางไว้
ศีล แปลตรงตัวภาษาง่ายๆสำหรับคนทั่วไปอาจหมายถึงข้อห้าม ฟังดูแล้วเหมือนกับเป็นการริดรอนสิทธิ์เสรีภาพของตนเอง แต่ความจริงแล้วศีลหรือข้อปฏิบัติที่บัญญัติไว้ในศาสนา คือเครื่องป้องกันตัวเราจากอันตราย จากความหลงผิดต่างๆ เปรียบได้เหมือนรั้วบ้านที่คุ้มครองป้องกันเรา เช่นถ้าเราฝืนออกนอกรั้วนอกบ้าน เราก็จะรู้สึกปลอดภัยน้อยลง และหมายความว่ามีโอกาสเสี่ยงอันตรายมากขึ้น ตรงข้ามถ้าเราเข้าบ้าน อยู่ในบ้านของเราความรู้สึกอบอุ่นสงบ ความปลอดภัยก็จะมีสูงขึ้น ศีลเบื้องต้นสำหรับปถุชนทั่วไปคือศีลห้า ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหกหรือพูดส่อเสียด และไม่ดื่มสุราหรือของมึนเมา เพียงงดและละห้าอย่างเราก็จะปลอดภัย อยู่บนถนนแห่งความสุขแล้ว ตรงข้ามถ้าเราเลยกรอบเลยเขตนี้ออกไป ก็คล้ายๆกับว่าเราเริ่มออกนอกขอบถนนชีวิตแล้ว เหมือนกับที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎกว่าเพียงผิดศีลห้าก็เข้าสู่ทางไปนรก ไม่ใช่ทางชีวิตแล้ว (ดูพระไตรปิฎกฉบับประชาชน โดยอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ)
สมาธิ หรือสภาวะที่จิตใจมีความรู้ตัว ไม่ฟุ้งซ่าน ใจจดใจจ่อกับสิ่งปัจจุบันเป็นอีกองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับทางแห่งความสุข เหมือนกับที่เราอยู่ในบ้าน ในบ้านเองก็มีหลายห้องหลายจุดที่อาจเป็นอันตรายได้ เราต้องมีสติ มีความรู้ระวังตัวเอง เช่นเข้าห้องน้ำก็ต้องระวังลื่น ผ่าฟืนก็ต้องระวังมีด จะขีดจะเขียนก็ต้องดูปากกา จะจำศีลภวนาก็ต้องหาความสงบ จะสงบระงับได้ก็ต้องฝึก เพราะจิตเรา จิตมนุษย์ไวนัก ไวยิ่งกว่าแสงหรือสิ่งใดๆ ไปถึงไหนต่อไหนในพริบตา ถ้าเราไม่ฝึกทำจิตให้นิ่งปล่อยให้มันไปตามเรื่องของมันจนชาชิน มันก็ยิ่งจะเป็นเรื่องยากที่มันจะอยู่กับเรา จะทำให้เราสงบนิ่งพอที่จะเห็นปัจจุบันขณะเห็นสภาวะตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ถ้าเรายังไม่เรียนรู้ไม่ฝึกให้มีจิตสมาธิให้เห็นปัจจุบัน ให้เห็นสิ่งที่อยู่ต่อหน้าอย่างชัดเจนแล้ว เราจะเดินดุ่มโดยไม่หกล้ม ไม่เจ็บไม่พลาด ไม่ทุกข์ได้อย่างไร นั่นคือความสำคัญของสมาธิ

Akkaradet-68(section 48)
ReplyDeleteAccording to the question "What is a land diving?"
In my mind...A land diving is the sea there was beautiful coral reefs,pure water and interesting area.
Akkaradet-68(section 48)
ReplyDeletebut...in fact,
It is a bungee jumping on Pentecost Island in Vanuatu.