ขอเพียงแค่เราต้องการ เราทุกคนล้วนสามารถทำอะไรอะไรหลายๆอย่างให้แก่คนอื่น แก่ชุมชนได้ ในฐานะที่อยู่ในสายวิชาการ และมีพื้นเพมาจากชุมชนชนบท เมื่อผมมีโอกาสได้เห็นสังคมภายนอกได้เรียนรู้ในความต่างความเหมือนแล้ว ผมมีความประสงค์ที่จะเข้าไปมีส่วนรับรู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชน หาแนวทางลดช่องว่างทางความคิดระหว่างคนที่มีภูมิหลังและประสบการณ์ต่างกัน อยากมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสให้เด็กในชนบทได้มีโอกาสรับรู้เรียนรู้มากขึ้นเพราะผมพอจะทราบว่าคนในชนบทกับคนเมืองหรือคนจนกับคนรวยนั้นต้นทุนห่างกันเพียงใด นั่นเป็นเหตุผลที่ผมมักกลับไปที่หมู่บ้านที่ผมจากมา (บ้านเหล่าเสือโก้ก)โดยไปสอนเด็กๆแบบให้เปล่าในวันหยุดเท่าที่เวลาจะอำนวยมากว่าสี่ห้าปีแล้ว บางครั้งผมก็พานักศึกษาที่เต็มใจไปช่วยไปร่วมกิจกรรมกับเด็กๆ บางครั้งก็เชิญแขกชาวต่างชาติไปบ้างตามโอกาส อาจจะทำไม่ได้มากมายแต่ผมก็สุขใจที่ได้ทำ ผมอยากทำให้มากขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง เมื่อทำมาได้ระยะหนึ่งแล้วจึงตัดสินใจบอกกล่าวให้คนทั่วไปได้รับรู้ผ่าน Blog นี้ เผื่อจะมีโอกาสทำให้ได้ดีขึ้น มากขึ้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่แรงสนับสนุน หากท่านเป็นคนหนึ่งที่พอจะเห็นในเจตนาอันบริสุทธิ์นี้และอยากมีส่วนร่วมโปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อผมได้ที่ meteekns79@gmail.com หรือแสดงความคิดเห็นให้คำแนะนำมาที่ Blog นี้

Saturday, February 3, 2018

11 กุมภาพันธ์ รักกันบอกกัน ทำดีไม่มีอะไรน่าอาย

ทำดีอย่าอาย
อย่าอายถ้าแน่ใจว่าดี ไม่มีการละเมิดสิทธิ์ใคร


กับงาน 11 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งนายเมธี แก่นสาร์ ได้ เชิญชวน ปลูกรักแท้ รักธรรม นำและทำให้ดู เชิดชูการทำดี ที่เหล่าเสือโก้ก 
ด้วยการร่วมกัน ทำความสะอาด เส้นทางจากบ้านเหล่าเสือโก้กสู่ วัดสัลเลขธรรม ซึ่งเป็นสถานปฏิบัติธรรมประจำอำเภอเหล่าเสือโก้ก ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ จุดเริ่มต้น จุดที่ตั้งแรกเริ่มของบ้านและหรืออำเภอเหล่าเสือโก้ก ร่วมบอกโลกให้รู้ ให้ดูให้เห็น เกิดเป็นคน อย่าอายทำดี


นับถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ตามกำหนดขอให้แจ้งความจำนงค์เข้าร่วมตามความสมัครใจ  มีผู้ให้หรือแจ้งชื่อมาแล้ว ประมาณ 15 ราย ซึ่งขอใช้ชื่อกันเองง่ายๆ ตามลักาณะงานอาสาที่ไม่ได้มุ่งหาประโยชน์ส่วนตัวใดๆคือ



อนึ่ง มีบางท่านแสดงความห่วงใย ว่าถ้าไม่มีคนมาร่วมหรือมาน้อย นายเมธี อาจเสียกำลังใจหรืออาย ขอขอบคุณในความห่วงใย และขอขยายความต่อว่า แม้ใจจริง แน่นอนว่า อยากให้เกิดจิตอาสา มีผู้มาช่วยมากๆ แต่ถ้าหาก ใจคนยังไม่พร้อม หรือ ส่วนใหญ่ติดงาน พอถึงวันจริงมาไม่ได้หลายคน ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ในมุมของผม การทำดี เมื่อแน่ใจว่าได้คิดดีแล้ว ไม่มีอะไรที่น่าอาย สิ่งที่น่าอาย คือ การไม่ได้คิดดีไม่ได้ทำดี จนเสียทีที่เกิดมาต่างหาก ขณะเดียวกัน การทำดี ควรเกิดจากความเข้าใจ และสมัครใจของผู้กระทำเอง เพราะหากเจ้าตัว ไม่พร้อม การจะไปฉุดไปลากให้มาร่วมทำดี ก็จะกลายเป้นการทำบาป การบังคับจิตหรือละเมิดสิทธิ์ ผู้อื่นไป  ทั้งนี้ ผมนายเมธี ต้องขอขอบคุณในทุกกำลังใจ และความมีน้ำใจของทุกท่านทั้งที่มาได้และไม่ได้ รวมทั้งที่จะมาเพิ่ม สำหรับความห่วงใย ในตัวผม ขอเรียนว่า แม้หลายครา ผมอาจหลุดหุนหันหรือ กระทำการแสดงอาการที่ไม่เหมาะสมไปบ้าง บนทางที่ผมเลือก ผมก็ได้เลือกที่จะทำในสิ่งที่คิดว่าดี มีประโยชน์ เผื่อการทำดีในวันนี้จะมีผลที่ดีในวันข้างหน้า เพราะแน่ใจว่า คงเคยผิดพลาดทำไม่ดี มีกรรมเก่าพอประมาณ เมื่อมีโอกาส และยังมีสติพอที่จะก่อจะสร้างเหตุดีๆไว้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลงมือ โดยไม่ได้เน้นว่าต้องมีผู้เดินตามทำตามเท่าใด ทั้งหมด ทั้งมวลทุกคนต่างมีสิทธิ์ที่จะคิดและพิจารณาว่าอะไรดี อะไรเหมาะกับตนเอง ดังที่ผมได้เคยเขียน เคยอธิบายในบทความเรื่องโลกของเมธี เมื่อ กว่า 10 ปีก่อนซึ่งขอนำเสนอซ้ำดังนี้

โลกของเมธี

              ข้าพเจ้าเขียนบทส่งท้ายนี้เมื่อเวลา 05.30 . วันที่ 12  กุมภาพันธ์  2546 ข้าพเจ้า เขียนจากใจ จากความรู้สึกที่อยากบอก อยากพูดอยากอธิบายให้กับทุกคน ทั้งคนที่รักและคนที่เกลียดข้าพเจ้า ทั้งคนที่เป็นมิตรและคนที่ยังไม่รู้จักข้าพเจ้า เพื่อให้ทุกคนได้รู้จักข้าพเจ้า ทุกคนจะได้หมดห่วงหมดกังวล เลิกสนใจใยดีกับข้าพเจ้า จะได้หันไปประกอบภาระหน้าที่การงานของตนเอง ใครที่รักที่เอ็นดูข้าพเจ้า ที่ห่วงพะวงในตัวข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง) ก็จะได้เลิกห่วงเลิกกังวลในตัวข้าพเจ้า เพราะความห่วงไม่ได้ช่วยอะไรข้าพเจ้าเลย นอกจากทำให้ข้าพเจ้าต้องเสียเวลามาอธิบาย ทำให้ได้งานน้อยลง ข้าพเจ้ามีงานที่อยากทำอยู่มากเหลือเกิน ไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องไร้ประโยชน์ หรือเรื่องอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าเพียงลำพัง ถ้าหากรักและเชื่อมั่นในคุณความดีตามที่ข้าพเจ้าเคยบอกเคยพูดกับทุกคน ก็โปรดอย่าห่วงกังวลทำให้วุ่นวาย เสียงาน เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าเห็นว่าข้าพเจ้าเลวก็อย่ามารักมากังวล คนเลวไม่รู้จักจบจักสิ้นล้วนสมควรสาบสูญไปได้แล้ว และไม่ใช่บุคคลที่ใครๆควรรักควรอาลัย หากเห็นว่าข้าพเจ้ามีความดีอยู่บ้างก็ไม่น่าจะต้องพูดอะไรอีก เพราะพระท่านก็บอกคนดีผีคุ้ม ถ้าจะบอกอีกว่าคนดีก็ตายได้ ก็ไม่ขอเถียง แต่เราทุกคนก็พูดกันตลอด รู้กันตลอดว่าคนดีตายไปแล้วก็ไปในที่ดีที่ชอบ ดังนั้นถ้าท่านรักข้าพเจ้าจริงก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องกังวลเดือดร้อนหากข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปในที่ดีๆในที่ชอบที่ชอบ ยกเว้นเสียแต่ว่า ท่านจะไม่รักข้าพเจ้าจริง  แต่ห่วงและกังวลเพราะเพียงอยากให้ข้าพเจ้าทำตามที่ใจท่านต้องการ หรืออยู่กับท่านโดยลำพัง อันนั้นไม่ถูกไม่ต้องแน่นอนเพราะเป็นการเห็นแก่ตัว
ส่วนคนที่เกลียดชังข้าพเจ้าเพราะเกรงว่าข้าพเจ้าจะคิดร้ายแก่ท่าน หรือได้ดีกว่าท่าน ก็โปรดเลิกกังวลในตัวข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเองไม่เคยคิดร้ายต่อใคร ต่อให้ข้าพเจ้าคิดร้ายต่อท่าน ข้าพเจ้าก็จะเจอภัยกับตัวเอง เพราะทำชั่วย่อมได้ชั่วแม้แต่คิดร้ายก็ชั่วแล้ว ดังนั้นถ้าท่านเชื่อในกฎแห่งกรรมท่านก็ไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวลใด ๆ ท่านจะได้มีความสุขมีความสงบเอาเวลาไปทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ อย่าลืมว่าคนเราจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นอย่าได้เสียเวลากังวลวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ฉะนั้นท่านก็จงไปสู่ที่ชอบที่ชอบเถิด ถ้าท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเลว บ้า หรือต่ำต้อย หรือเป็นตัวเสนียดจัญไร ที่อาจทำให้ท่านต้องมัวหมอง ก็โปรดไปห่าง ๆ ตัวข้าพเจ้า ตัวท่านจะได้ไม่แปดเปื้อน ขณะเดียวกันถ้าท่านแค้นเคืองข้าพเจ้าด้วยประการใด ที่ข้าพเจ้าไม่รู้ไม่ทราบ ข้าพเจ้าก็ขอเรียนว่าอย่าคิดอะไรไปเพียงลำพัง ขอให้มาพูดมาบอก สอบถามข้าพเจ้าด้วยตนเอง เพราะบางสิ่งที่ท่านคิดว่าข้าพเจ้าคิด ข้าพเจ้าเป็น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ข้าพเจ้าเป็นจริงๆก็ได้ อยากรู้ความจริงต้องไปที่ต้นตอ แต่หากท่านโกรธแค้นข้าพเจ้าถึงขั้นไม่อยากมาพูดมาคุยด้วย ข้าพเจ้าก็จนใจ ก็คงทำได้เพียงขอโทษสำหรับเรื่องในอดีต ข้าพเจ้าอาจจะทำอะไรผิดพลั้งพลาดไปบ้างเพราะข้าพเจ้าก็เป็นคนธรรมดาสามัญ ที่สำคัญแต่ก่อนข้าพเจ้าไม่รู้ในสิ่งที่ข้าพเจ้าพอจะรู้พอจะเข้าใจในปัจจุบัน ตอนนี้ข้าพเจ้าได้ประจักษ์ด้วยกายใจตนเองแล้วในอำนาจของคุณงามความดี กฎแห่งกรรม ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว จะพูดว่า นายเมธีคนเดิมได้ตายไปแล้วก็ได้ อย่างไรก็ตามคนที่รู้จริงรู้ลึกย่อมรู้ว่าข้าพเจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เป็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้นตลอดมา จะต่างจากเดิมก็แค่ภายนอก แต่ภายในนั้นข้าพเจ้ามีความจริงใจและความปรารถนาดีให้กับทุกคนเสมอมา จะผิดอยู่ก็เพียงแค่บางท่านอาจไม่ได้ยินไม่ได้เห็นตัวตนของข้าพเจ้า เพราะตอนนั้นข้าพเจ้าเรียนน้อย ไม่ได้มีดีกรีมารับรองความโง่ ท่านเลยไม่เชื่อไม่ฟังข้าพเจ้า อย่างถ่องแท้ ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าข้าพเจ้าโง่จริง (เรียนนานกว่าจะจบ) บ้าจริง ท่านจึงให้ความสนใจฟัง สนใจอ่านสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดข้าพเจ้าเขียน? ท่านจึงพอจะเข้าใจข้าพเจ้าขึ้นทั้งนี้หากสงสัยอะไรอีกก็หวังว่าท่านคงจะให้เกียรติข้าพเจ้า สอบถามข้าพเจ้าโดยตรง หรือไม่ก็คอยติดต่อตามงานเขียนของข้าพเจ้าในอนาคต แทนที่จะสรุปเองว่านายเมธีบ้า แล้วท่านจะได้คำตอบแก่ทุกคำถามที่ท่านมี แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้รู้อะไรไปเสียทุกอย่าง ข้าพเจ้าก็ขอยืนยัน ณ ตรงนี้ว่าข้าพเจ้ามีคำตอบมีคำอธิบายให้แก่ท่านทุกเรื่องในสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ ไม่ยากเลย ทั้งหมดคือทฤษฎีความตรงกันข้าม (Opposition Theory) หรือหลักทางพุทธศาสนานั่นแหละ ท่านเองก็รู้แล้ว แต่ท่านไม่รู้ตัวว่ารู้ก็เท่านั้นเอง  (รู้ก็คือไม่รู้ ถ้าคิดว่าตัวเองยังไม่รู้นั้นแหละคือผู้รู้จริง)

                                                                        เมธี  แก่นสาร์
                                                                        บ้านแสนสุข
                                                                      12  ก.. 2546


Metee’s World

              I write this last chapter at 5:30, February 2003. I  am writing it from my heart, out of my long desire to share and explain to everyone, to both those who like and those who dislike me, to both friends and those who haven’t known or understood me, so that they might understand me and stop worrying about me. If so, they can focus on their duties or what they have to do. I hope that those who love and care for me (which I feel very grateful)  will soon stop worrying about me, for it does not do me any good. On the contrary, it worries me, and I have to spend time and energy explaining what I do and how exactly I think. That prevents me from finishing what I would like to finish, and I have so many things that I would like to do. I do not want to waste time dealing with nonsense issues or any matter that affects me alone. If only everyone would have faith in the effects of doing good or goodness itself as I often refer to , they wouldn’t be so worried and concerned that it in turn has worried me and wasted my time. Instead of being able to focus on my tasks at hand, I unnecessarily have to deal with  frustrating emotional issues.
              If you think I am that bad and doing evil things, why bother thinking about me, a bad person? Those who constantly do bad and cannot be changed deserve to disappear from the community if not from the world. They are not the kind of people whom we should remember or care about. On the contrary, if you would say that I am not a bad fellow, and that I have done something good, then what is there to worry about? We’ve all heard the saying that “all good people are watched over by good spirits”. If you would argue again that the good ones can be killed as well, don’t forget the next part of the saying, “ good ones will go to the good places and the places they like, like heaven.”  So what else is there? What’s there to worry about if I go to where I like or where I should be? Unless, in fact you do not really love me, but you merely want me to be with you, to accompany you forever. If that is what you think and want, it is a form of selfishness.
              For those who dislike me because you think that I might do something bad to you or be better than you, please be assured that I have never intended to hurt anyone by any means. And if I did, I would be the one who would get bad effects for doing evil leads to evil consequences. Even thinking about doing bad is already bad. If you believe in the law of karma, you will not have to worry about anything. You will be happy and can spend your time doing worthy things. Please don’t forget that we never know when we will die; it could be even today or tomorrow. It is pointless to waste our time worrying about nonsense. Let’s be where we like and do what we want. If you really think I am bad, insane, or so low and disgusting that I might stain you, keep a distance from me so that you may remain clean. On the other hand, if you happen to be enraged by me without my knowledge, please do not keep that to yourself because you might have misunderstood me. I may not be like what you think I am. To find truth, we need to go to the original source. However, if you are so enraged by me that you cannot talk or do not want to have anything to do with me, it’s beyond my ability to help. If so, the best I can do is to apologize for my mistakes in the past. That was because I did not understand what I have understood now. Now, I have experienced and completely believe in the power of virtue and karma law, the consequences of one’s actions. I have changed. It can be said that old Metee has died. However, for those who really knew me, I have been who I am, serious and sincere to everyone. The main difference might be because you did not really pay attention to what I was saying because I was a nobody without any qualifications whatsoever. Back then, you never listened to my words. Now, because you have learnt that I am really slow (It took me that long to graduate), really crazy, you have begun to give me more time and listen to or read my words more carefully. That helps you understand me a little better. Thank you very much for that, and from now on,  if you have any questions, I will be very honored if you would ask me directly, or follow my work to be published in the future instead of concluding that “Metee is crazy.”  By approaching me directly, you will get the answers to all questions you have. Though I do not know everything, I can assure you that I have some reasons and some explanation for all that I did. In fact, if only you give yourself a little more time to ponder, it is not that difficult to see it. It’s all derived from the Opposition Theory or Buddhist principles which most of us are familiar with. Unfortunately, many of us are not aware of what we know. Thinking that we know implies not knowing, accepting that we haven’t known (all) is the real awakening.  
                                                                                      Metee Kansa
                                                                                      Saensook (Happy)  Village

                                                                        February 12, 2003

No comments:

Post a Comment